กองทัพสยาม เดินทางจากกรุงเทพ มาปราบเงี้ยว หัวเมืองพายัพ ปี ๒๔๔๕ | ร.ศ. ๑๒๒ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๔๖ คนเชียงของต้องเผชิญกับกลุ่มเงี้ยว(ไทยใหญ่) ด้วยเหตุมีเงี้ยวกลุ่มหนึ่ง หัวหน้าชื่อกาหม่อง เป็นคนที่ชอบเล่นการพนัน และติดหนี้พนันเป็นจำนวนมาก จึงหาเงินใช้หนี้ด้วยการปล้นชิงทรัพย์ | |
ตลอดเส้นทางที่หลบหนี ได้ปล้นฆ่าชิงทรัพย์ เผาบ้านของราษฎรมาตลอดจากแพร่ น่าน ลำปาง เชียงใหม่ เชียงราย บ้านน้ำแพร่ ป่าบง เทิง แต่เมื่อมาถึงเชียงของ เงี้ยวเริ่มผูกมิตรกับชาวบ้านเพราะต้องการใช้เมืองเชียงของเป็นที่กบดาน เวลานั้นเชียงของถูกกำหนดเป็น “ดินแดนส่วนกลาง” ระหว่างประเทศสยาม กับ ดินแดนในบังคับของฝรั่งเศส ตามสนธิสัญญา ๓ ตุลาคม ร.ศ.๑๑๒(พ.ศ.๒๔๓๗) ระหว่างรัฐบาลแห่งสมเด็จพระเจ้ากรุงสยามกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ทำให้กลุ่มเงี้ยวพ้นการไล่ล่าของกองทัพสยาม เมื่อมาถึงเชียงของพวกเงี้ยวประมาณ ๓๐๐ คน ได้อาศัยวัดหลวงเป็นที่พักพิง และอีกกว่า ๑๐๐ คน ปะปนอยู่กับชาวบ้านทั่วไป อยู่อย่างสงบได้ไม่นาน ทรัพย์สินที่เงี้ยวปล้นมาเริ่มหร่อยหรอ จึงเริ่ม... “ขอ” ด้วยการพูดจาอ่อนหวาน แสดงความเคารพนบนอบ และยกมือไหว้ เจ้าน้อยจิตวงษ์(เจ้าเมืองเชียงของ) โดยบอกว่าขอเงินเพื่อเป็นทุนซื้อเสบียงเพียงเล็กน้อย... ต่อมาภายหลังเริ่มได้ใจ ขอหนักขึ้นเป็นลำดับ เจ้าเมืองเชียงของของเริ่มถอดใจ เพราะหมดเงินไปกว่าสองพันบาท จึงไม่ยอมให้อีก หัวหน้าเงี้ยวเริ่ม“ขู่บังคับ” โดยเขียนติดหน้าประตูบ้านเจ้าเมืองว่า...“ เจ้าหลวงเป็นผู้ที่มีเงิน คนจนมาขอเงินก็ไม่ให้ เจ้าหลวงเป็นคนไม่มีจิตใจเผื่อแผ่ ใจดำ ไม่เอ็นดูคนจน ทีนี้พวกเราจะขู่เอาเงินค่าปรับจากเจ้าหลวงผู้ใจดำให้เจ้าหลวงชำระเงินให้พวกเราเป็นเงิน ๓๓,๓๓๓,๓๐๐ บาทกับ ๓๓ อัฐ ให้นำเงินให้แก่พวกเราที่อยู่วัดหลวงภายใน ๗ วัน นับตั้งแต่วันปิดหนังสือนี้เป็นต้นไป” เจ้าจิตวงษ์เริ่มเห็นภัยที่จะมาถึง จึงคิดแผนหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ได้เจรจาผลัดผ่อนขอเวลา ๑๕ วัน เพื่อขอเรี่ยไรจากราษฎร แล้วทำทีเรียกผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้านมาเพื่อให้เห็นว่าตั้งใจจริงที่จะหาเงินให้พวกเงี้ยว แตแท้จริงเรียกเพื่อแจ้งถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และบอกให้ผู้ใหญ่บ้านทราบว่า จำเป็นที่ตนจะต้องหนีไปพึ่งฝรั่งเศส ด้วยเชื่อว่าหากหนี้ไปพวกเงี้ยวคงไม่ทำอันตรายราษฎร ๑ มีนาคม ๒๔๔๖ เจ้าเมืองเชียงของได้เรียกราษฎร ๑๕๐ คนมาที่โรงช้าง เหมือนว่ามีการประชุมตามปกติ ทว่าเจ้าเมืองได้หนีออกทางป่าหลังบ้านพร้อมบุตรชายคนเล็กและภรรยา แล้วข้ามฟากแม่น้ำโขง ที่บ้านหาดไคร ้ไปยังเขตฝรั่งเศส เมืองห้วยทราย เข้าพบ กอมมิแซร์ (เทียบเท่าผู้ว่าราชการจังหวัด) โดยให้เจ้าหนานบุษรศ เป็นผู้รักษาบ้านแทน อีกด้านหนึ่งในทางลับ เจ้าหนานบุษรศ ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกที่เป็นชายฉกรรจ์เข้าร่วมวางแผนการกับผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเห็นร่วมกันว่า จะลุกขึ้นปราบพวกเงี้ยวในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๔๔๗ โดยได้ข้ามฟาก ไปขอยืมอาวุธปืนและกระสุนจำนวนหนึ่ง จากกอมมิแซร์ แต่ในคืนวันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๔๗ ได้รับการทักท้วงจากพญาหลวงราชไมตรีสิทธิมังคละ ข้าราชการอาวุโสผู้หนึ่ง โดยข้าราชการผู้นี้ให้เหตุผลว่า ไม่สามารถที่จะคาดคะเนกำลังที่แท้จริงของพวกเงี้ยวได้ เพราะบางส่วนหลบซ่อนอยู่ แม้ว่าจะรบชนะขับไล่พวกเงี้ยวจากหมู่บ้าน แต่พวกเงี้ยวอาจออกปล้นฆ่าราษฎรในที่ต่าง ๆ หากแพ้ก็จะถูกฆ่าฟัน ไม่ว่าผู้หญิงหรือเด็ก ทั้งอาจถูกเผาบ้านเรือน เพราะขณะนี้เชียงของไม่สามารถของกำลังหนุนจากฝ่ายใดได้ ไม่ว่าทั้งกำลังของสยาม หรือของฝรั่งเศส เพราะถูกกำหนดให้เป็นดินแดนส่วนกลาง เช้าของวันที่ ๙ มีนาคม ๒๔๔๖ เจ้าหนานบุษรศเรียกแกนนำชาวบ้านประชุมลับ เพื่อล้มเลิกแผนการณ์ทั้งหมดไว้ก่อน พร้อมส่งอาวุธคืนให้แก่ฝรั่งเศส แล้วเจ้าบุษรศเองก็ได้หลบหนีเงี้ยวจากเมืองเชียงของ ข้ามไปอยู่เมืองห้วยทราย โดยไปทำงานเป็นเสมียนให้กับ กอมมิแซร์ ขณะเดียวกันลุ่มเงี้ยวก็ได้เข้าพบกับ กอมมิแซร์ เช่นกัน เพื่อหาทางสู้กับกองทัพสยาม กอมมิแซร์ ยังได้แนะนำวิธีการต่อสู้ให้กับพวกเงี้ยว และในปี ๒๔๔๗ นั้น สยาม กับ ฝรั่งเศส ได้เจรจาตกลงกันตามเงื่อนไขเขตแดนว่า จะให้เชียงแสนเก่าและเชียงของ เป็นดินแดนของสยามโดยเด็ดขาด | ||
|
| |
๒๓ เมษายน ๒๔๔๗ นายพันโทหลวงชาญสอนกล มีหนังสือเชิญเจ้าจิตวงษ์ กลับมาเป็นเจ้าเมืองเชียงของงตามเดิม ต่อมาภายหลัง รัฐบาลสยาม ได้ตั้งเชียงของขึ้นเป็นเมืองพิเศษ โดยจัดให้ พระยาบรมบาทบำรุงข้าหลวงประจำนครน่าน มาเป็นข้าหลวงประจำเมืองเชียงของ พร้อมตั้งกองสอบสวนคดี กองศาล กองข้าหลวง และอัยการ เพื่อชำระสะสางคดีผู้ที่เกี่ยวข้องและร่วมมือกับพวกเงี้ยว รวมทั้งกองทหาร กองตำรวจ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ข้อมูล ศึกเงี้ยว | ||
วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
เชียงของ: สงครามกับเงี้ยว (ไทยใหญ่)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น