วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2551

ล้านนา: ผู้​ชายสักหมึก​ ​ผู้​หญิงนุ่งซิ่น

ถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2527 แต่จำไม่ได้ว่าเอามาจากเว็บไหน

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เชียงของ: วิหารเก่าแก่วัดเชียงของ




































วัดเชียงของ​ ​อ​. ​เชียงของ​ ​จ​. ​เชียงราย​ ​เป็น​อาคารเครื่องไม้​เก่า​แก่ของท้องถิ่น​ ​ลักษณะ​เป็น​อาคารโถงขนาด​ใหญ่​ ​สร้างขึ้น​ด้วย​วิธีการง่ายๆ​ ​แต่ชาญฉลาด​ ​โดย​การ​ใช้​คานไม้ล้อมเสาวิหารทุกต้น​ไว้​ด้วย​กัน​ใน​ตอนบน​ ​ทำ​ให้​อาคารตั้ง​อยู่​อย่างปลอดภัย​ ​แม้ว่า​โคนเสา​เบื้องล่าง​จะ​ขาดคอดิน​ ​เนื่อง​จาก​การผุกร่อนก็ตาม​ ​หลังคามุง​ด้วย​กระ​เบื้องไม้​ ​ก็​ใช้​ขอไม้​เกี่ยว​กับ​ไม้ระ​แนงที่ทำ​จาก​ต้นหมาก​ ​โดย​ไม่​ต้อง​ใช้​ตะปู​หรือ​โลหะยึด


ข้อมูล เมืองโบราณ

ล้านนา: สิบสองปันนา













เมือง​ ​ลื้อ​ ​คือ​ ​สิบสองพันนาตำ​นานเมืองลื้อเล่าว่า​ ​ชาวลื้อมา​จาก​เมืองลื้อหลวง​ ​ข้ามแม่น้ำ​ทรายใหลมา​ ​จึง​เรียกว่า​ ​คนลื้อ​ ​สมัยยุคหนึ่งก็​ได้​สร้างบ้านแปงเมืองเรียกว่า​ ​อาณาจักรหอคำ​เชียงรุ่ง​ ​สิบสองปันนา​ ​สิบสองปันนามา​จาก​การปกครองสิบสองเขต​ ​ที่​เรียกว่า​ ​ปันนาสมัยราชวงค์หยวนของจีน​ ​ได้​ถูกกองทัพกุปไลข่านทำ​ลาย​ ​และ​ได้​เป็น​เมืองขึ้น​ ​จึง​ถูกเรียกว่า​ แซนเหว่ย ​หรือ​ แสนหวี ​แปลว่า​ ​เมืองที่​เป็น​เมืองขึ้น

เชียงรุ้ง ​เมืองหลวงของแคว้นสิบสองปันนา​ ​คือเมืองเชียงรุ้ง​ ​หรือ​ จิ่นหง (Jinghong) ​มณฑลยูนนาน​ ​ประ​เทศจีน​ ​ตั้ง​อยู่​บริ​เวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ​ล้านช้าง​ ​เป็น​ศูนย์รวมของอารยธรรมโบราณ​ ​และ​ชาวพื้นเมือง​ ​หลากหลาย​ ​กว่า​ 20 ​เผ่าพันธุ์​ ​ซึ่ง​หนึ่ง​ใน​กลุ่ม​ใหญ่ๆ​นั้น​คือชาวเผ่า​ไท​ ​หรือ​ ​ไต​ ​ที่ประกอบ​ด้วย​ไทเผ่าต่างๆ​ ​และ​กลุ่มไทที่มีมากที่สุดคือ​ ​ไทลื้อที่​เป็น​ชนชาติ​ไท​ ​ที่มีประ​เพณีวัฒนธรรมคล้ายคลึง​กัน​กับ​กลุ่มไทลื้อ​ใน​ ​อำ​เภอสันกำ​แพง​ ​เชียง​ใหม่​ ​และ​ไทลื้อ​ใน​ ​อำ​เภอป่าซาง​ ​จังหวัดลำ​พูน​ ​ภาษาจีนกลาง​ Mandarin ​เป็น​ภาษาที่​ใช้​กัน​มาก​ ​รองลงมาคือภาษา​ไทยเหนือ​ (คำ​เมือง) ​ผู้​คนที่นี่มีอัธยาศัยดี​ ​ชาวไทลื้อ​ใน​เชียงรุ้งมีประ​เภณีสงกรานต์​เหมือนบ้านเรา​ ​ช่วงเดือนเมษายน​ ​สถานที่​ ​ท่องเที่ยว​ใน​เชียงรุ้ง​ ​และ​แคว้นสิบสองปันนา​ ​มีมากมาย​ทั้ง​ทางธรรมชาติ​ ​วัดวาอาราม​ ​ให้​ชื่นชม​และ​สัมผัส

​การเดินทาง​เข้า​ไปเที่ยวเมืองสิบสองปันนา​ ​สามารถ​ทำ​เรื่องผ่านแดนที่ด่าน​ ​ต้าลั๊วะ​ ​ซึ่ง​ด่านนี้​เปิด​ให้​คนพม่า​และ​จีน​เข้า​ออก​ได้​ ​สถานที่ท่องเที่ยวที่สำ​คัญประจำ​เมืองเชียงรุ่ง​ ​ที่อยากแนะนำ​ ​ได้​แก่

1.สวนม่านทิง ​สวนสาธารณะประจำ​เมืองเชียงรุ่ง​ ​มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า​ ​ชุนควน​ ​ซึ่ง​มี​ความ​หมายว่า​ ​สวนแห่งวิญญาณ​ ​ตั้ง​อยู่​กลางเมือง​ ​บนพื้นที่กว่า​ ​สามพันตารางกิ​โลเมตร​ ​ร่มรื่น​ด้วย​ต้นขี้​เหล็ก​ ​จำ​นวนมากสวนแห่งนี้​ ​บริ​เวณ​ไกล้​สวน​เป็น​บริ​เวณวัด​ ​ป่า​เจ​ ​ซึ่ง​ ​เป็น​วัดไทยลื้อ​ ​นักท่องเที่ยว​สามารถ​กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์

2. วัดเจดีย์ขาว ​ซึ่ง​เป็น​ปูชนียสถานที่สำ​คัญ​ ​มีรูปร่างคล้าย​กับ​พระธาตุ​ไชยา​ ​ของไทย​ ​และ​ ​เจดีย์ขาว​ ​นี้​ ​มี​ความ​สำ​คัญ​และ​เป็น​ที่​เคารพสักการะ​ ​ของคนเชียงรุ่งอย่างมาก​ ​เรา​สามารถ​ ​พบเห็นรูปของ​ ​เจดีย์ขาว​ ​ได้​ทั่ว​ไป​ ​ตามโปสเตอร์​ ​ที่​เกี่ยว​กับ​การท่องเที่ยวต่างๆ​ใน​คืนวันสำ​คัญทางศาสนา​ ​ต่างๆ​ ​จะ​มีการเวียนเทียนรอบๆ​เจดีย์ขาวนี้​ด้วย​ ​โดย​ ​ผู้​ชาย​จะ​เดิน​อยู่​วงรอบด้าน​ใน​ ​ส่วน​ผู้​หญิง​ ​จะ​เดิน​อยู่​วงรอบด้านนอก

3. อนุสาวรีย์​ ​ท่าน​ ​โจว​ ​เอน​ ​ไหล​ อดีตนายกรัฐมนตรีของจีน​ ​แต่งกาย​ใน​ชุดแบบ​ ​ชาว​ ​ไทยลื้อ​ ​มือหนึ่งถือขันน้ำ​
​มือหนึ่งถือใบไม้​ ​เพื่อเล่นน้ำ​สงกรานต์​ ​กับ​ชาวบ้าน​ ​ใน​อดีตเมื่อ​ ​ค​.​ศ​.1961 ​ท่าน​ ​โจว​ ​เอน​ ​ไหล​ ​เคย​ได้​มา​เล่น​ ​สงกรานต์​ ​กับ​ชาวสิบสองปันนา​ ​จนกลาย​ ​เป็น​ที่ประทับใจ​ไม่​รู้ลืม​ ​จึง​เป็น​สา​เหตุ​ให้​มีการสร้าง​ ​อนุสาวรีย์​ ​ไว้

4.วัด​ ​กัน​หลั่นป้า​ ​หรือ​ ​วัดมหาสุทธาวาส​ ซึ่ง​เป็น​วัดไทลื้อ​ ​โบราณ​ ​ภาย​ใน​มีพระประธานขนาด​ใหญ่​ ​ประดิษฐาน​อยู่​รองลงมามีพระพุทธรูป​ ​เล็กๆ​เรียงรายอีกหลายองค์​ ​ตัวอุ​โบสถ​ ​นั้น​ ​ก่อสร้าง​ด้วย​ไม้​ ​ไม่​มีการตอกเข็ม​ ​แต่​จะ​เป็น​การ​ ​วางเสา​ไม้บนแท่นหิน​ ​แทน​ ​ซึ่ง​ ​นับ​เป็น​ ​หลักการปลูกสร้างของชาวไทลื้อปรกติ​ ​ภาย​ใน​มีการเขียนลวดลาย​ด้วย​วิธี​แบบเสตนซิล​ ​แต่​ไม่​มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง
​นอก​จาก​นี้​ยัง​มีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย​ให้​นักท่องเที่ยว​ได้​สัมผัสวิถีชีวิต​ ​วัฒนธรรมชาวไทลื้อ​ ​และ​ยัง​สามารถ​เลือกซื้อของที่ระลึกมากมายอาทิ​เช่น​ ​จำ​พวก​ ​ผ้าทอ​ ​ต่างๆ​ ​อาหารการกิน​ ​เหมาะสำ​หรับนักท่องเที่ยวชาวไทยไปสัมผัสวัฒนธรรมที่คล้ายคลึง​กัน​กับ​บ้านเรา​ ....

ล้านนา: การแต่งกายของผู้หญิงล้านนาในอดีต

เชียงของ: สงครามกับเงี้ยว (ไทยใหญ่)


กองทัพสยาม​ ​เดินทาง​จาก​กรุงเทพ​
​มาปราบเงี้ยว​ ​หัวเมืองพายัพ​ ​ปี​ ๒๔๔๕

ร​.​ศ​. ๑๒๒ ​ตรง​กับ​ ​พ​.​ศ​.๒๔๔๖ ​คนเชียงของ​ต้อง​เผชิญ​กับ​กลุ่มเงี้ยว​(ไทย​ใหญ่)​

​ด้วย​เหตุมี​เงี้ยวกลุ่มหนึ่ง​ ​หัวหน้าชื่อกาหม่อง​ ​เป็น​คนที่ชอบเล่นการพนัน​ ​และ​ติดหนี้พนัน​เป็น​จำ​นวนมาก​ ​จึง​หา​เงิน​ใช้​หนี้​ด้วย​การปล้นชิงทรัพย์​

​เงี้ยวเริ่มฮึกเหิม​ ​เข้า​ปล้นโรงพัก​ ​ปล้นเงินส่วย​ ​เค้าสนามหลวงนครแพร่​(ศาลากลางจังหวัด) ​และ​เริ่มก่อตัว​เป็น​กลุ่ม​ใหญ่​ ​บุก​เข้า​ปล่อยนักโทษ​ ​ประกาศศึกไล่ฆ่าฟันตำ​รวจ​จาก​ส่วน​กลาง​ ​จึง​ถูกกองกำ​ลังตำ​รวจสยามยกทัพขึ้นมาปราบปราม
เงี้ยวกลุ่มนี้​จึง​ถอยร่นขึ้นมาทางเหนือ​

ตลอดเส้นทางที่หลบหนี​ ​ได้​ปล้นฆ่าชิงทรัพย์​ ​เผาบ้านของราษฎรมาตลอด​จาก​แพร่​ ​น่าน​ ​ลำ​ปาง​ ​เชียง​ใหม่​ ​เชียงราย​ ​บ้านน้ำ​แพร่​ ​ป่าบง​ ​เทิง​ ​แต่​เมื่อมา​ถึง​เชียงของ​ ​เงี้ยวเริ่มผูกมิตร​กับ​ชาวบ้าน​เพราะ​ต้อง​การ​ใช้​เมืองเชียงของ​เป็น​ที่กบดาน

​เวลา​นั้น​เชียงของถูกกำ​หนด​เป็น​ “​ดินแดน​ส่วน​กลาง​” ​ระหว่างประ​เทศสยาม​ ​กับ​ ​ดินแดน​ใน​บังคับของฝรั่งเศส​ ​ตามสนธิสัญญา​ ๓ ​ตุลาคม​ ​ร​.​ศ​.๑๑๒(พ​.​ศ​.๒๔๓๗) ​ระหว่างรัฐบาลแห่งสมเด็จพระ​เจ้ากรุงสยาม​กับ​รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส​ ​ทำ​ให้​กลุ่มเงี้ยวพ้นการไล่ล่าของกองทัพสยาม​

เมื่อมา​ถึง​เชียงของพวกเงี้ยวประมาณ​ ๓๐๐ ​คน​ ​ได้​อาศัยวัดหลวง​เป็น​ที่พักพิง​ ​และ​อีกกว่า​ ๑๐๐ ​คน​ ​ปะปน​อยู่​กับ​ชาวบ้าน​ทั่ว​ไป

อยู่​อย่างสงบ​ได้​ไม่​นาน​ ​ทรัพย์สินที่​เงี้ยวปล้นมา​เริ่มหร่อยหรอ​ ​จึง​เริ่ม​... “​ขอ​” ​ด้วย​การพูดจาอ่อนหวาน​ ​แสดง​ความ​เคารพนบนอบ​ ​และ​ยกมือไหว้​ ​เจ้าน้อยจิตวงษ์​(เจ้า​เมืองเชียงของ) ​โดย​บอกว่าขอเงินเพื่อ​เป็น​ทุนซื้อเสบียงเพียง​เล็ก​น้อย​...

​ต่อมาภายหลังเริ่ม​ได้​ใจ​ ​ขอหนักขึ้น​เป็น​ลำ​ดับ​ ​เจ้า​เมืองเชียงของของเริ่มถอดใจ​ ​เพราะ​หมดเงินไปกว่าสองพันบาท​ ​จึง​ไม่​ยอม​ให้​อีก​

​หัวหน้า​เงี้ยวเริ่ม​“​ขู่บังคับ​” ​โดย​เขียนติดหน้าประตูบ้านเจ้า​เมืองว่า​...“ ​เจ้าหลวง​เป็น​ผู้​ที่มี​เงิน​ ​คนจนมาขอเงินก็​ไม่​ให้​ ​เจ้าหลวง​เป็น​คน​ไม่​มีจิตใจเผื่อแผ่​ ​ใจดำ​ ​ไม่​เอ็นดูคนจน​ ​ทีนี้พวกเรา​จะ​ขู่​เอา​เงินค่าปรับ​จาก​เจ้าหลวง​ผู้​ใจดำ​ให้​เจ้าหลวงชำ​ระ​เงิน​ให้​พวกเรา​เป็น​เงิน​ ๓๓,๓๓๓,๓๐๐ ​บาท​กับ​ ๓๓ ​อัฐ​ ​ให้​นำ​เงิน​ให้​แก่พวกเราที่​อยู่​วัดหลวงภาย​ใน​ ๗ ​วัน​ ​นับตั้งแต่วันปิดหนังสือนี้​เป็น​ต้นไป​”

เจ้าจิตวงษ์​เริ่มเห็นภัยที่​จะ​มา​ถึง​ ​จึง​คิดแผนหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า​ ​ได้​เจรจาผลัดผ่อนขอเวลา​ ๑๕ ​วัน​ ​เพื่อขอเรี่ยไร​จาก​ราษฎร​ ​แล้ว​ทำ​ที​เรียก​ผู้​ใหญ่​บ้านทุกหมู่บ้านมา​เพื่อ​ให้​เห็นว่าตั้งใจจริงที่​จะ​หา​เงิน​ให้​พวกเงี้ยว​ ​แตแท้จริงเรียกเพื่อแจ้ง​ถึง​สถานการณ์ที่​เป็น​อยู่​ ​และ​บอก​ให้​ผู้​ใหญ่​บ้านทราบว่า​ ​จำ​เป็น​ที่ตน​จะ​ต้อง​หนี​ไปพึ่งฝรั่งเศส​ ​ด้วย​เชื่อว่าหากหนี้​ไปพวกเงี้ยวคง​ไม่​ทำ​อันตรายราษฎร

๑ ​มีนาคม​ ๒๔๔๖ ​เจ้า​เมืองเชียงของ​ได้​เรียกราษฎร​ ๑๕๐ ​คนมาที่​โรงช้าง​ ​เหมือนว่ามีการประชุมตามปกติ​ ​ทว่า​เจ้า​เมือง​ได้​หนีออกทางป่าหลังบ้านพร้อมบุตรชายคน​เล็ก​และ​ภรรยา​ ​แล้ว​ข้ามฟากแม่น้ำ​โขง​ ​ที่บ้านหาดไคร​ ​้​ไป​ยัง​เขตฝรั่งเศส​ ​เมืองห้วยทราย​ ​เข้า​พบ​ ​กอมมิ​แซร์​ (เทียบ​เท่า​ผู้​ว่าราชการจังหวัด) ​โดย​ให้​เจ้าหนานบุษรศ​ ​เป็น​ผู้​รักษาบ้านแทน

​รุ่งขึ้นพวกเงี้ยวทราบว่าพ่อเมืองเชียงของ​ได้​หลบหนี​ ​ก็​เข้า​มาหวัง​จะ​ยึดบ้าน​และ​ทรัพย์สินที่มี​อยู่​ ​แต่​เจ้าหนานบุษรศ​ ​ได้​ใช้​วิธี​โอนอ่อนผ่อนตาม​ ​โดย​เจรจาว่าขอ​อยู่​เรือนหลังนี้​ไปก่อน​ ​ส่วน​เรื่องทรัพย์สิน​จะ​ทำ​บัญชี​ให้​ ​และ​ขอเอาตัวเอง​เป็น​ประ​กัน​ ​หากมีทรัพย์สินสูญหาย​จะ​เป็น​รับผิดชอบ

อีกด้านหนึ่ง​ใน​ทางลับ​ ​เจ้าหนานบุษรศ​ ​ได้​รวบรวมสมัครพรรคพวกที่​เป็น​ชายฉกรรจ์​เข้า​ร่วมวางแผนการ​กับ​ผู้​ใหญ่​บ้าน​ ​ซึ่ง​เห็นร่วม​กัน​ว่า​ ​จะ​ลุกขึ้นปราบพวกเงี้ยว​ใน​วันที่​ ๑๐ ​มีนาคม​ ๒๔๔๗ ​โดย​ได้​ข้ามฟาก​ ​ไปขอยืมอาวุธปืน​และ​กระสุนจำ​นวนหนึ่ง​ ​จาก​กอมมิ​แซร์​

แต่​ใน​คืนวันที่​ ๘ ​มีนาคม​ ๒๔๔๗ ​ได้​รับการทักท้วง​จาก​พญาหลวงราชไมตรีสิทธิมังคละ​ ​ข้าราชการอาวุ​โส​ผู้​หนึ่ง​ ​โดย​ข้าราชการ​ผู้​นี้​ให้​เหตุผลว่า​ ​ไม่​สามารถ​ที่​จะ​คาดคะ​เนกำ​ลังที่​แท้จริงของพวกเงี้ยว​ได้​ ​เพราะ​บาง​ส่วน​หลบซ่อน​อยู่​ ​แม้ว่า​จะ​รบชนะขับไล่พวกเงี้ยว​จาก​หมู่บ้าน​ ​แต่พวกเงี้ยวอาจออกปล้นฆ่าราษฎร​ใน​ที่ต่าง​ ​ๆ​ ​หากแพ้ก็​จะ​ถูกฆ่าฟัน​ ​ไม่​ว่า​ผู้​หญิง​หรือ​เด็ก​ ​ทั้ง​อาจถูกเผาบ้านเรือน​ ​เพราะ​ขณะนี้​เชียงของ​ไม่​สามารถ​ของกำ​ลังหนุน​จาก​ฝ่าย​ใด​ได้​ ​ไม่​ว่า​ทั้ง​กำ​ลังของสยาม​ ​หรือ​ของฝรั่งเศส​ ​เพราะ​ถูกกำ​หนด​ให้​เป็น​ดินแดน​ส่วน​กลาง

เช้า​ของวันที่​ ๙ ​มีนาคม​ ๒๔๔๖ ​เจ้าหนานบุษรศเรียกแกนนำ​ชาวบ้านประชุมลับ​ ​เพื่อล้มเลิกแผนการณ์​ทั้ง​หมด​ไว้​ก่อน​ ​พร้อมส่งอาวุธคืน​ให้​แก่ฝรั่งเศส​ ​แล้ว​เจ้าบุษรศเองก็​ได้​หลบหนี​เงี้ยว​จาก​เมืองเชียงของ​ ​ข้ามไป​อยู่​เมืองห้วยทราย​ ​โดย​ไปทำ​งาน​เป็น​เสมียน​ให้​กับ​ ​กอมมิ​แซร์​

ขณะ​เดียว​กัน​ลุ่มเงี้ยวก็​ได้​เข้า​พบ​กับ​ ​กอมมิ​แซร์​ ​เช่น​กัน​ ​เพื่อหาทางสู้​กับ​กองทัพสยาม​ ​กอมมิ​แซร์​ ​ยัง​ได้​แนะนำ​วิธีการต่อสู้​ให้​กับ​พวกเงี้ยว​

​เจ้าบุษรศ​ ​รู้ว่ามีการเจร​จา​กัน​ระหว่างเงี้ยว​กับ​กอมมิ​แซร​ ​์​จึง​ติดต่อ​กับ​เจ้าจิตวงษ์​ ​ซึ่ง​ช่วง​นั้น​ลี้ภัย​อยู่​ใน​เมืองเดียว​กัน​ ​เจ้าจิตวงษ์​ ​ได้​ส่งข่าวการติดต่อ​กัน​ของกลุ่มเงี้ยว​กับ​กอมิ​แซร์​ ​เป็น​ระยะๆ​ ​ให้​กับ​เจ้าคุณดัษกรปลาศ​ ​กองทหารประจำ​การกองทัพสยาม​ ​ที่​เชียงคำ

และ​ใน​ปี​ ๒๔๔๗ ​นั้น​ ​สยาม​ ​กับ​ ​ฝรั่งเศส​ ​ได้​เจรจาตกลง​กัน​ตามเงื่อนไขเขตแดนว่า​ ​จะ​ให้​เชียงแสนเก่า​และ​เชียงของ​ ​เป็น​ดินแดนของสยาม​โดย​เด็ดขาด​



เจ้าคุณดัษกรปลาศ


​เมื่อเชียงของพ้นสภาพการ​เป็น​ดินแดน​ส่วน​กลาง​แล้ว​ ​กองทัพสยาม​โดย​เจ้าคุณดัษกรปลาศ​(ทอง​อยู่​ ​โรหิตเสถียร)​ผู้​บัญชาการทหารเชียงคำ​ ​ได้​จัดกำ​ลังกองทัพ​ ๒ ​กองร้อย​ ​นำ​โดย​ ​นายร้อยเอกกร​ ​กับ​นายร้อยเอกเสม​ ​มาสมทบ​กับ​ทัพหน้าที่​เชียงราย​ ​ซึ่ง​มีกำ​ลัง​อยู่​ ๔ ​กองร้อย​ ​นำ​โดย​ ​นายพันโทหลวงชาญสอนกล​ ​ตั้ง​เป็น​กองหน้า​เข้า​ปราบเงี้ยวที่​เชียงของ​

วันที่​ ๒๑ ​เมษายน​ ​ใน​ปี​นั้น​ ​เวลา​ ๑๑.๐๐ ​น​. ​กองทัพสยาม​ ​ได้​ยกพล​ถึง​นอกเวียงเชียงของ​ ​ปิดล้อมประตู​เมือง​ทั้ง​สองด้าน​ ​คือ​ ​ประตูชัย​ ​และ​ประตูป่าช้า​ ​โดย​ให้​กองประตูชัย​เป็น​กองรุก​ ​ทางประตูป่าช้า​เป็น​กองสกัดจับ​ ​และ​สามารถ​ปราบพวกเงี้ยว​ได้​ภาย​ใน​วันเดียว

๒๓ ​เมษายน​ ๒๔๔๗ ​นายพันโทหลวงชาญสอนกล​ ​มีหนังสือเชิญเจ้าจิตวงษ์​ ​กลับมา​เป็น​เจ้า​เมืองเชียงของงตามเดิม​

​ต่อมาภายหลัง​ ​รัฐบาลสยาม​ ​ได้​ตั้งเชียงของขึ้น​เป็น​เมืองพิ​เศษ​ ​โดย​จัด​ให้​ ​พระยาบรมบาทบำ​รุงข้าหลวงประจำ​นครน่าน​ ​มา​เป็น​ข้าหลวงประจำ​เมืองเชียงของ​ ​พร้อมตั้งกองสอบสวนคดี​ ​กองศาล​ ​กองข้าหลวง​ ​และ​อัยการ​ ​เพื่อชำ​ระสะสางคดี​ผู้​ที่​เกี่ยวข้อง​และ​ร่วมมือ​กับ​พวกเงี้ยว​ ​รวม​ทั้ง​กองทหาร​ ​กองตำ​รวจ​ ​เพื่อรักษา​ความ​สงบเรียบร้อย​


ขบวนเสด็จตรวจราชการมณฑลพายัพ​ ​พ​.​ศ​.๒๔๔๗ ​ของ
​จอมพลพระ​เจ้าบรมวงศ์​เธอ​ ​กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช
​ณ​ ​ประตู​เมืองเชียงราย
​ภายหลังสงบศึกการปราบปรามเงี้ยว



ข้อมูล ศึกเงี้ยว

เชียงของ: ภาพอดีตของถนนสายเทิง-เชียงของ





























เชียงของ: เจ้าเมืองในอดีต

เจ้า​เมืองเชียงของตามลำ​ดับ

  • เจ้าอริยะ
  • เจ้ารำ​มะ​เสน
  • เจ้าวิทูระ
  • เจ้าคำ​ขึ้น
  • ​เจ้าอนุรส
  • ​เจ้าอริยะ​ (บุตรของเจ้าวิทูระ​ ​ซึ่ง​มีชื่อคล้อง​กับ​เจ้า​เมืองคนแรก)
  • เจ้าอินต๊ะยศ
  • เจ้าจิตวงษ์

ใน​สมัยรัชกาลที่​ ๑ - ๕ ​เมืองเชียงของขึ้นตรงต่อหัวเมืองน่าน​ ​ภาย​ใต้​การปกครองของประ​เทศสยาม

่จนกระทั่ง​ใน​สมัยพระจุลจอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​รัชกาลที่​ ๕ ​ราว​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๒๓ ​ได้​เป็น​เมืองบริ​เวณ​ ​หนึ่ง​ใน​ ๕ ​หัวเมือง​ ​อันประกอบ​ด้วย​ ​เมืองฝาง​ ​เมืองพะ​เยา​ ​เมืองเชียงราย​ ​เมืองเชียงแสน​ ​เมืองเชียงของ

ต่อมาปี​ ๒๔๕๓ ​รัชกาลเดียว​กัน​ ​ทรงโปรด​ให้​มีการจัดการปกครองมณฑลพายัพขึ้น​ ​ได้​ยกเมืองเชียงรายขึ้น​เป็น​เมืองจัตวา​ ​รวม​อยู่​ใน​มณฑลพายัพ​ ​มีศูนย์กลาง​อยู่​ที่​เชียง​ใหม่​ ​และ​ให้​เชียงของ​เป็น​อำ​เภอหนึ่งของเมืองเชียงราย​

เจ้าจิตตวงษ์​ ​เจ้า​เมืองเชียงของ​ใน​ขณะ​นั้น​ ​ได้​รับพระราชทานสัญญาบัตร​ให้​เป็น​พระยาจิตวงศ์วระยศรังษี​ ​และ​เป็น​นายอำ​เภอคนแรก​ ​ของเอำ​เภอเชียงของ

ข้อมูล
ประวัติการสร้างเมืองเชียงของ" ​ของ​ ​ขุนภูนพิ​เลขกิจ​ (เจ้าหนานบุษรศ​ ​จิตตางกูร) ​พ​.​ศ​.๒๔๔๘